ภาษา กับตัวผม




สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณเกี่ยวกับ ภาษา กับ ตัวผม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่สนใจจะเรียนภาษา มีดังนี้

1. ผมไม่ชอบภาษาอังกฤษ ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ม.6 ผมไม่สนใจเรียนเลย ผมท่อง A-Z ยังไม่ค่อยคล่องเลย ตอน ม.6 

2. ผมมีอคติกับภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก

3. ผมไม่ชอบเรียนแบบถูกบังคับให้เรียน

4. ผมสนทนาภาษาไม่ได้เลย 

5. อาย กลัวผิด ไม่กล้าแสดงออก

6. ช่วงความคิดเปลี่ยน--- ผมเริ่มล้างสมองภาษาอังกฤษใหม่กับศูนย์ภาษา มจร และ มธ โดย มจร นั้นผมสมัครใจที่จะเรียนเอง เพราะอยากจะเรียนกับเจ้าของภาษาที่เป็นตัวแทนจาก Oxford University / University of London / University of California ส่วน มธ นั้น เขานิมนต์ไปติวช่วงตอนเรียน ป.ตรี เป็น Course สั้นๆ ถามว่าทำไมอยู่ๆผมถึงอยากเรียนภาษา ผีเข้ารึเปล่า? จริงๆ แล้วผมมีแรงบันดาลใจที่จะเรียนภาษามาจากเพื่อนที่เขาเก่งภาษาอยู่แล้วในห้อง รวมทั้ง อธิการบดี มจร รูปปัจจุบัน พระพรหมบัณฑิต เนื่องจากท่านเป็นพระไอดอลของผม และทำให้ผมอยากจะเรียนต่อ มจร ทั้งๆที่เกือบจะลาสิกขาตอนจบ ม.6


เคล็ดลับการเรียนภาษาส่วนตัวของผม อย่าคิดว่าเป็นการอวดเก่งของผมนะครับ ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจของผู้จะเรียนภาษา

1. เริ่มจาก 0 
ผมเริ่มใหม่หมดทุกอย่างตอนเข้ามหาลัย ช่วง ป.ตรี ปี 1 ปี 2 ก่อนเลือกเอกภาษา ห้องเรียนนานาชาติ เนื่องจากผมไม่ได้สักอย่างเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เริ่มตั้งแต่ฝึกการออกเสียงพยัญชนะ สระ ในภาษาอังกฤษเลย พวก Parts of Speech และอื่นๆ เน้นเรียนจากยูทูป สื่อออนไลน์ โดยที่เจ้าของภาษาเป็นผู้สอน ก็ฝึกทุกวัน

2. เรียนกับเจ้าของภาษา
ผมเริ่มเรียนทักษะการพูด และ การฟังก่อน โดยได้สมัครเรียนที่ ศูนย์ภาษาของ มจร วังน้อย เรียนกับเจ้าของภาษา ชื่อว่า Mr. Barrett อ. จาก มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ ช่วงนั้นผมพูดไม่ได้เลย แต่ต้องพูดทุกครั้งที่เข้าเรียน ผิด ถูก ก็ต้องพูด เพราะผมเรียน English Speaking Course ดำน้ำบ้าง ว่ายน้ำบ้างเกือบทุกครั้งในตอนแรกๆ เรียนอยู่ 1 Course เต็มๆ แล้วสอบ ปรากฏว่าผมผ่าน Course การพูด และ ฟัง ในระดับพื้นฐาน เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมเลือกเรียนเอกภาษา ป.ตรี ห้องเรียนนานาชาติ 

3. ฝึกเพิ่มเติมทุกวัน
ผมฝึกเสริมทักษะการพูด ฟัง ทุกวันจากส่วนใหญ่จากนักพูดดังๆของโลก หรือนักการเมืองที่ใช้ภาษาเก่งๆ สารคดี เพลง รวมทั้งหนัง หรือ อะไรที่เราชอบ ตอนแรกไม่รู้เรื่องเลย ว่าเขาพูดอะไร แต่อาศัยฟังทุกวัน ทำให้ชินหู สามารถเข้าใจได้มากกว่าเดิมมากขึ้น พยายามลอกเลียนแบบคำพูดเขา ด้วยการพูดตามเบาๆ ทักษะการพูด ฟัง เป็นทักษะที่ต้องได้ก่อน เพราะเป็นทักษะที่ใช้บ่อยที่สุด ก่อนจะไปเรื่องทักษะการเขียน อ่าน วิเคราะห์ ตีความหมาย สรุปประเด็น และอื่นๆ

4.  อาจารย์เก่งและเข้มส่งผลดีกับตัวเรา
ตอนเรียน ป.ตรี เจออาจารย์เข้มๆเก่งๆหลายท่านที่มาสอน เป็นอาจารย์พิเศษ จาก ม.เอเเบค ม.เอเชียอาคเนย์ และมหาลัยอื่นๆ ทำให้ได้ซึมซับเยอะ แล้วค่อยๆมีความกล้าพูด กล้าผิดมากขึ้น ตอนนั้นผมก็ยังไม่เก่งอะไร พอไปวัดไปวาได้ สุดท้ายผมเรียนจบได้ GPA 3.25 

5. เรียนภาษาไม่มีวันสิ้นสุด
ผมต่อโทหลักสูตรนานาชาติ รุ่นแรก คณะมนุษยศาสตร์ มจร เพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ หลังจากการเดินทางที่แสนยาวไกลของผมจบลงด้วยการสำเร็จ ป.ตรี เอกภาษา ก็คิดว่าตัวเองยังอ่อนอีกเยอะเลย อยากจะสู้กับภาษาต่อไป ด้วยการต่อโท นานาชาติ ก่อนจะต่อโท นานาชาติ ผมได้สมัครเรียนภาษาศาสตร์ จนจบเทอมแรก เพื่อรอหลักสูตรใหม่ คือ ป.โท ภาษาและการสื่อสาร นานาชาติ 



สิ่งที่ผมทำช่วงเรียน ป.โท จนถึงตอนนี้ คือ

1. พูด ฟังทุกวัน กับเพื่อนที่ใช้ภาษาอังกฤษ

2. อ่านหนังสือพิมพ์อังกฤษ นิทาน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบแต่ต้องเป็นอังกฤษทุกวัน รวมทั้งจดบันทึก อย่าอ่านพวกหนังสือตำราเรียน เพราะมันจะน่าเบื่อ ทำให้สมองไม่รับ อ่านที่เราชอบ แน่นอนว่าได้เรียนรู้ทักษะการอ่าน การเขียน แกรมม่า การวิเคราะห์ และหลายๆทักษะ ไปด้วย

3. ไปเรียนเสริมทักษะ การพูด การเขียน ที่ Landmark เป็นของสหรัฐ ซึ่งมีหลายแห่งในประเทศไทย แต่ที่ผมไป อยู่ กทม 




4. ได้มีโอกาสทำงานวิจัยกับอาจารย์ที่เก่งคนหนึ่ง คือ อาจารย์มนตรา เลี่ยวเส็ง ซึ่งเป็น อ.สอน ป.โท นานาชาติด้วย ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา จบการศึกษาจาก สถาบันเทคโนโลยีสวิส ซูริค สวิสเซอร์แลนด์  และได้พบเพื่อนต่างชาติมากมาย ทำให้ต้องใช้ภาษาตลอด 


5. ผมทำวิทยานพินธ์เป็นอังกฤษเนื่องจากเรียนนานาชาติ เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ งานวิทยานิพนธ์ช่วยพัฒนาทักษะหลายอย่าง โดยเฉพาะการเขียนเชิงวิชาการ ทำให้ผมต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่กล่าวข้างต้น 

การมาเรียนสาขานี้ทำให้ผมเจอ อ.เจ้าของภาษา เกือบทุกวิชา ทำให้พัฒนาได้เร็วมาก จนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทุกคนชื่นชมผม เช่น ครูบาอาจารย์ รุ่นพี่ เพื่อนๆ และรุ่นน้อง ทำให้ อ. วางใจในความสามารถของผม โดยให้ผมได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของมหาลัยด้วย เช่น เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา นิสิต ป.ตรี นานาชาติ ที่แคมป์สน ปี 2013 เป็นตัวแทนของเพื่อนๆรุ่น แรก ป.โท นานาชาติในการจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ ปี 2013 ให้ผมไปให้ความรู้เรื่องวิจัยรุ่นน้องเป็นภาษาอังกฤษ และงานย่อยๆอื่นๆ ถึงตอนนี้ผมได้รับคำยกย่องจาก อ.ที่ปรึกษาว่า เป็นนิสิต รูปแรกที่ทำวิทยานิพนธ์เสร็จสมบูรณ์





ทุกอย่างที่กล่าวเป็นสิ่งที่ผมทำมาแล้ว ไม่ได้เป็นการโอ้อวดแต่อย่างใด เพราะผมเองก็ยังมีอะไรให้พัฒนาอีกเยอะเกี่ยวกับภาษา ผมต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ....ที่กล่าวให้ฟังก็เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเรียนภาษา สามารถก้าวทัน หรือเก่งกว่าได้เสมอ... ถ้าเริ่มทำ







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความแตกต่างระหว่าง maid และ housekeeper แบบย่อ

จับจุดอ่อนของ Informality (ความไม่เป็นทางการในการใช้ภาษาพื้นฐาน)

10 คำคม