ความแตกต่างของ No, None, None of ... แบบย่อ



ความแตกต่างของ No, None of, None แบบย่อ

ก่อนอื่น เราต้องทราบว่า No กับ None of ... เป็นตัววางหน้าคำนาม (Determiner) เพื่อสื่อถึงปริมาณ/จำนวนว่ามากหรือน้อยเพียงใด เช่น

1. No + singular/plural noun + singular/plural verb

No one loves football. ไม่มีใครชอบฟุตบอลเลย 

* เมื่อเราใช้ No เป็นตัววางหน้านาม กริยาที่ตามมาสามารถเป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ขึ้นอยู่กับบริบท เช่น No dogs are allowed in this area. สังเกตว่าคำนาม dogs เป็นคำนามนับได้อยู่ในรูปพจน์ ตัวกริยาที่ตามมาจึงเป็นพหูพจน์ด้วย คือ are (ในไวยากรณ์เรียกว่า subject-verb agreement) จะดูเป็นธรรมชาติกว่าที่จะพูดว่า No dog is allowed in this area. เราต้องมองความเป็นจริงทั่วไปว่า dogs นั้นมีหลายตัว ไม่ได้มีตัวเดียวแน่นอน ดังนั้น การใช้ No dogs... จึงเป็นธรรมชาติกว่า 

เปรียบเทียบกับประโยคนี้ คือ No Thai star has won the Nobel Peace Prize. สังเกตว่าในประโยคนี้ Thai star เป็นคำนามที่นับได้แต่ใช้ในรูปเอกพจน์ ตัวกริยาที่ตามมาจึงเป็น has... จะดูเป็นธรรมชาติกว่าการใช้คำนามนับได้ในรูปพหูจน์ คือ No Thai stars have won the Nobel Peace Prize. 

ความจริงก็คือว่า ดาราไทยมีมากมาย แต่ดาราไทยที่มีมากมายเหล่านี้ไม่มีใครเลยที่ได้รางวัล Nobel Peace Prize ...ความจริงคือ ไม่มีใครได้เลย ดังนั้น เราควรใช้คำนามในรูปเอกพจน์มากกว่ารูปพหูพจน์ คือ No Thai star has won the Nobel Peace Prize. จะดูเป็นธรรมชาติกว่า แม้ว่าหลักไวยากรณ์จะใช้ได้ทั้งสองแบบก็ตาม คือ No Thai star has... หรือ No Thai stars have... ไม่ได้ผิดไวยากรณ์ 

ปกติแล้วคำนามที่ตามมาหลัง No....นั้น จะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ หากเป็นคำนามเอกพจน์ กริยาก็ต้องเป็นเอกพจน์ หากเป็นคำนามพหูพจน์ กริยาก็เป็นพหูพจน์ด้วย เว้นแต่คำที่ว่าหลัง No... เป็นคำนามที่นับไม่ได้ (mass noun/uncount noun) กริยาเป็นเอกพจน์เสมอ เช่น No sugar is healthy.  อย่างไรก็ตาม เราควรดูบริบทความเป็นจริงด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันจึงมีพวก Functional Grammar ที่มีเจ้าพ่ออย่าง M. A. K. Halliday

***No one ...จะอยู่ในรูปเอกพจน์เสมอ เช่น No one is perfect. No one hates you.


2. None of.... มีหลักการใช้ทั่วไปดังนี้

2.1 None of the + singular/plural noun + singular/plural verb

เช่น 

2.1.1 None of the cars is brought from India. หรือ None of the cars are brought from India. เราสามารถใช้กริยาเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้ หากคำนามก่อนหน้าเป็นรูปพหูพจน์ แต่ถ้าเป็นทางการควรใช้กริยาในรูปเอกพจน์ คือ ...is... ถ้าไม่เป็นทางการใช้กริยาพหูพจน์ (โดยเฉพาะในภาษาพูด) คือ ...are... ดังในประโยคข้างต้นนี้

2.1.2 None of the bottled water is sold here. ในกรณีที่หลัง None of.... เป็นคำนามที่นับไม่ได้ กริยาจะอยู่ในรูปเอกพจน์เสมอ


2.2 None of + possessive adjective + singular/plural noun + singular/plural verb

2.2.1 None of my cars is/are brought from India. = my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ต้องบวกกับคำนามเสมอ = my + cars เหตุที่เรียกว่า possessive adjective เพราะว่ามันทำหน้าเป็นคุณศัพท์ (my...) เพื่อขยายคำนาม (cars) แสดงความเป็นเจ้าของว่าเป็นรถของฉัน (my cars...) ส่วน None of ...เป็นตัววางหน้านาม (determiner) เพื่อสื่อถึงปริมาณ/จำนวน (Quantifier) เลยกลายเป็น None of my cars...

2.2.2 None of my bread is free. ในกรณีที่หลัง None of.... เป็นคำนามที่นับไม่ได้ กริยาจะอยู่ในรูปเอกพจน์เสมอ


2.3 None of + demonstrative + (noun) + singular/plural verb

2.3.1 These cars are expensive. = None of these (cars) is/are cheap. ในประโยคนี้ these คือ demonstrative ซึ่งเราสามารถใช้มันเป็น determiner หรือ pronoun ได้ เช่น 

None of these is/are cheap. = these ในที่นี้เป็น pronoun ใช้สรรพนามแทนรถว่า รถเหล่านี้  

None of these cars is/are cheap. these ในที่นี้เป็น determiner ตัววางหน้านาม (cars)

2.3.2 None of this (information) is true.

2.3.3 None of that surprises me.  

ในกรณีที่หลัง None of.... เป็น this/that กริยาจะอยู่ในรูปเอกพจน์เสมอ


2.4 None of + object pronoun + singular/plural verb

2.4.1 They didn't come late for school yesterday. = None of them came late for school yesterday. ในประโยคนี้ them คือ object pronoun 

2.4.2 None of us speaks Chinese. ในประโยคนี้ us คือ object pronoun 


*************************************

None คือ สรรพนาม (pronoun) มีความหมาย not one / not any เราใช้ none เพื่อเป็นสรรพนามแทนคำนามทั้งที่นับได้และคำนามที่นับไม่ได้ (count/uncount noun) เช่น 

My mom has two cars, but my aunt has none. = My aunt doesn't have any cars. แม่ผมมีรถ 2 คัน แต่ป้าผมไม่มีเลยสักคัน สังเกตว่า none แทนคำนามคือ cars ที่สื่อความว่า ไม่มีรถสักคันเลย

กรณีที่ none ใช้เป็นประธานของประโยค กริยาที่ตามมาสามารถเป็นได้ทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับบริบท เช่น

1. She is awalys looking for inspiration. None ever comes

ในประโยคนี้เราใช้ none บวกกับกริยาในรูปเอกพจน์  (comes) เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงหรืออ้างถึงคือ เธอกำลังมองหา "แรงบันดาลใจ" แต่เธอก็ยังไม่พบเลย/ไม่เกิดขึ้นเลย

2. I would like to get ground-breaking ideas from my readers.  None ever come.

ในประโยคนี้เราใช้ none บวกกับกริยาในรูปพหูพจน์  (come) เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงหรืออ้างถึงคือ "ความคิดใหม่ ๆ หรือ ground-breaking ideas" สังเกตว่า ideas อยู่ในรูปพหูพจน์ ดังนั้น กริยาหลัง none คือ come จะไม่มีการเติม -s เข้าไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความแตกต่างระหว่าง maid และ housekeeper แบบย่อ

จับจุดอ่อนของ Informality (ความไม่เป็นทางการในการใช้ภาษาพื้นฐาน)

10 คำคม